ธรรม : ต่อการตีความหมายในแง่ประชาธิปไตย, หลักนิติธรรมหรือสิทธิมนุษยชน
การวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมทั้งปวงในยุคหลัง 2475 จึงล้วนอ้างอิงความคิดหรือหลักการทางกฎมายสมัยใหม่แบบตะวันตก อาทิ เรื่องหลักนิติธรรม, สิทธิเสรีภาพ หรือสิทธิมนุษยชน เป็นสำคัญโดยไม่มีการเชื่อมโยงเข้ากับปรัชญาธรรมนิยมทางกฎหมายดั้งเดิมที่พูดถึงเหตุผลนิยมหรือมนุษย์นิยม
การรับเอาแนวคิดที่ต่อสู้กับแนวคิดต่ออำนาจรัฐตามแนวคิดปฏิฐานนิยมหรือแนวคิดเกี่ยวกับความชอบธรรมแห่งกฎหมายหรือการใช้อำนาจรัฐ โดยเฉพาะกรณี 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นการเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ กลับคืนมาจากผู้มีอำนาจของรัฐขณะนั้น โดยนำแนวคิดปรัชญากฎหมายธรรมชาติเข้ามาเรียกร้องโดยไม่มีการเชื่อมโยงเข้ากับปรัชญากฎหมาย (พุทธ) ธรรมนิยมเข้าเลย ก่อให้เกิดขาดการยั้งคิด การตรึกตรองเท่าที่ควรจึงก่อให้เกิดการนองเลือด 14 ตุลาคม 2516 ขึ้นมา เพราะเหตุนี้การที่นำแนวคิดปรัชญากฎหมายตะวันตกในการเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพอย่างเกินตัวของกลุ่มคนไทยในสมัยนั้นทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย
ต่อมาได้มีนักวิชาการบางท่าน (ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ประเวศน์ วะสี) ได้ยืนยันแนวคิดหลังจากวิกฤตการณ์ทางสังคมการเมืองครั้งสำคัญ ซึ่งเป็นเหตุการณ์นองเลือดที่เรียกว่า
“พฤษภาทมิฬ” ในวันที่ 17 – 20 พ.ค. 2535 ซึ่งได้ยืนยันว่าประชาธิปไตยคือ ธรรมรูปแบบหนึ่ง ความคิดที่ถือเอาธรรมะเป็นสิ่งสูงสุดเหนือกฎหมายหรือการใช้อำนาจรัฐใด ๆ ย่อมมีศักยภาพในทางพลังความคิดอย่างสูง โดยเฉพาะในสังคมที่ถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ อย่างเป็นปึกแผ่นมั่นคงมาช้านาน
ในทำนองเดียวกับเรื่องของประชาธิปไตยกรณีหลักนิติธรรม (The Rule of Law) และสิทธิมนุษยชน (Human Right) ก็อาจแปลให้เป็นส่วนแห่งธรรมะร่วมสมัยได้เช่นกัน สบแต่รายละเอียดแห่งเนื้อหาของหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนล้วนเกิดขึ้น ดำรงอยู่เพื่อค้ำประกันหรือประคับประคองชีวิตและสิทธิเสรีภาพของบุคคลให้ตั้งมั่นอยู่ได้เป็นปกติ ทั้งในแง่ของความเสมอภาคและแง่ของการมีศักดิ์ศรีของมนุษย์ ให้พ้นจากภัยคุกคามของอำนาจรัฐที่ไม่มีความชอบธรรมในปัจจุบัน ดังนั้นปรัชญากฎหมายแบบ (พุทธ) ธรรมนิยมจึงกลับมามีบทบาท (อยู่บ้าง) ในสังคมไทยดังเห็นได้ในรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่ผสมผสานกับปรัชญาตะวันตกที่มีเกลื่อนกลืนลำบากลูกคอแต่อย่างไรก็ตามก็ยังดีกว่ารัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ ที่ผ่านมานับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวก็ได้ถูกล้มล้างโดยคณะปฏิรูประบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) ได้จัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2549 (ฉบับชั่วคราว) ขึ้นมาบริหารประเทศ รองรับประกาศหรือคำสั่งของ คปค.ทั้งก่อนหน้าและหลังเป็นกฎหมาย ตามมาตรา 36และ37 เป็นการยอมรับโดยสดุดีว่าเป็นกฎหมายตามแนวคิดแบบปฏิฐานนิยมทางกฎหมายอย่างแท้จริง และได้ถ่ายทอดแนวคิดปรัชญาแบบปฏิฐานนิยมมายังมาตรา 309 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550